วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2557

การสำรวจระยะไกล (Remote sensing )

ความหมาย


การรับรู้จากระยะไกล หรือ รีโมทเซนซิ่ง คือ เป็นวิทยาศาสตร์และศิลปะในการได้มาซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับวัตถุพื้นที่หาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ พื้นที่และปรากฏการณ์ต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากเครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล ซึ่งเครื่องมือบันทึกข้อมูลโดยปราศจากการเข้าไปสัมผัสกับวัตถุเป้าหมาย ทั้งนี้อาศัยคุณสมบัติของเคลื่อนแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นสื่อการได้มาซึ่งข้อมูล ใน 3 ลักษณะคือ ช่วงคลื่น รูปทรงสัณฐานของวัตถุบนพื้นผิวโลก และการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา
    

ระบบรีโมทเซนซิง ถ้าแบ่งตามแหล่งกำเนิดพลังงานที่ก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ

1. Passive remote sensing เป็นระบบที่ใช้กันกว้างขวางตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน โดยมีแหล่ง พลังงานที่เกิดตามธรรมชาติ คือ ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงาน ระบบนี้จะรับและบันทึกข้อมูลได้ ส่วนใหญ่ในเวลากลางวัน และมีข้อจำกัดด้านภาวะอากาศไม่สามารถรับข้อมูลได้ในฤดูฝนหรือเมื่อมีเมฆหมอกฝน


2. Active remote sensing เป็นระบบที่แหล่งพลังงานเกิดจากการสร้างขึ้นในตัวของเครื่องมือสำรวจ เช่น ช่วงคลื่นไมโครเวฟที่สร้างในระบบเรดาห์ แล้วส่งพลังงานนั้นไปยังพื้นที่เป้าหมาย ระบบนี้ สามารถทำการรับและบันทึกข้อมูล ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา หรือ ด้านสภาวะภูมิอากาศ คือสามารถรับส่งสัญญาณได้ทั้งกลางวันและกลางคืน อีกทั้งยังสามารถทะลุผ่านกลุ่มเมฆ หมอก ฝนได้ในทุกฤดูกาลในช่วงแรกระบบ passive remote sensing ได้รับการพัฒนามาก่อน และยังคงใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนระบบ active remote sensing มีการพัฒนาจากวงการทหาร แล้วจึงเผยแพร่เทคโนโลยีนี้ต่อกิจการพลเรือนในช่วงหลัง การสำรวจในด้านนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะกับประเทศในเขตร้อนที่มีปัญหาเมฆ หมอก ปกคลุมอยู่เป็นประจำ

หลักการของรีโมตเซนซิง 


       หลักการของรีโมตเซนซิงประกอบด้วยกระบวนการ 2 กระบวนการ ดังต่อไปนี้คือ 
         1. การได้รับข้อมูล (Data Acquisition) เริ่มตั้งแต่พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดพลังงาน เช่น ดวงอาทิตย์ เคลื่อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศ, เกิดปฏิสัมพันธ์กับวัตถุบนพื้นผิวโลก และเดินทางเข้าสู่เครื่องวัด/อุปกรณ์บันทึกที่ติดอยู่กับยานสำรวจ (Platform) ซึ่งโคจรผ่าน ข้อมูลวัตถุหรือปรากฏการณ์บนพื้นผิวโลกที่ถูกบันทึกถูกแปลงเป็นสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ส่งลงสู่สถานีรับภาคพื้นดิน (Receiving Station) และผลิตออกมาเป็นข้อมูลในรูปแบบของข้อมูลเชิงอนุมาน (Analog Data) และข้อมูลเชิงตัวเลข(Digital Data) เพื่อนำไปนำวิเคราะห์ข้อมูลต่อไป

         2. การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis) วิธีการวิเคราะห์มีอยู่ 2 วิธี คือ
                  - การวิเคราะห์ด้วยสายตา (Visual Analysis) ที่ให้ผลข้อมูลออกมาในเชิงคุณภาพ (Quantitative) ไม่สามารถ วัดออกมาเป็นค่าตัวเลขได้แน่นอน 
                  - การวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ (Digital Analysis) ที่ให้ผลข้อมูลในเชิงปริมาณ (Quantitative) ที่สามารถแสดงผลการวิเคราะห์ออกมาเป็นค่าตัวเลขได้ 

การวิเคราะห์หรือการจำแนกประเภทข้อมูล

การวิเคราะห์หรือการจำแนกประเภทข้อมูลต้องคำนึงถึงหลักการดังต่อไปนี้ 
                 1. Multispectral Approach คือ ข้อมูลพื้นที่และเวลาเดียวกันที่ถูกบันทึกในหลายช่วงคลื่น ซึ่งในแต่ละช่วงความยาวคลื่น (Band) ที่แตกต่างกันจะให้ค่าการสะท้อนพลังงานของวัตถุหรือพื้นผิวโลกที่แตกต่างกัน
                 2. Multitemporal Approach คือ การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา จำเป็นต้องใช้ข้อมูลหลายช่วงเวลา เพื่อนำมาเปรียบเทียบหาความแตกต่าง
                 3. Multilevel Approach คือ ระดับความละเอียดของข้อมูลในการจำแนกหรือวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งขึ้นอยู่กับการประยุกต์ใช้งาน เช่น การวิเคราะห์ในระดับภูมิภาคก็อาจใช้ข้อมูลจากดาวเทียม LANDSAT ที่มีรายละเอียดภาพปานกลาง (Medium Resolution)   แต่ถ้าต้องการศึกษาวิเคราะห์ในระดับจุลภาค เช่น ผังเมือง ก็ต้องใช้ข้อมูลดาวเทียมที่ให้รายละเอียดภาพสูง (High Resolution) เช่น ข้อมูลจากดาวเทียม SPOT, IKONOS, หรือรูปถ่ายทางอากาศเป็นต้น

คุณสมบัติของภาพจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากร 
        • การบันทึกข้อมูลเป็นบริเวณกว้าง (Synoptic view) ภาพจากดาวเทียมภาพหนึ่งๆ ครอบคลุมพื้นที่กว้างทำให้ได้ข้อมูลในลักษณะต่อเนื่องในระยะเวลาบันทึกภาพสั้นๆ สามารถศึกษาสภาพแวดล้อมต่างๆ ในบริเวณกว้างขวางต่อเนื่องในเวลาเดียวกันทั้นภาพ เช่น ภาพจาก LANDSAT MSS และ TM หนึ่งภาพคลุมพื้นที่ 185X185 ตร.กม. หรือ 34,225 ตร.กม. ภาพจาก SPOT คลุมพื้นที่ 3,600 ตร.กม. เป็นต้น 
                       

การบันทึกภาพได้หลายช่วงคลื่น ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรมีระบบกล้องสแกนเนอร์ ที่บันทึกภาพได้หลายช่วงคลื่นในบริเวณเดียวกัน ทั้งในช่วงคลื่นที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และช่วงคลื่นนอกเหนือสายตามนุษย์ ทำให้แยกวัตถุต่างๆ บนพื้นผิวโลกได้อย่างชัดเจน เช่น ระบบ TM มี 7 ช่วงคลื่น เป็นต้น
        • การบันทึกภาพบริเวณเดิม (Repetitive coverage) ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรมีวงโคจรจากเหนือลงใต้ และกลับมายังจุดเดิมในเวลาท้องถิ่นอย่างสม่ำเสมอและในช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น LANDSAT ทุก ๆ 16 วัน MOS ทุกๆ 17 วัน เป็นต้น ทำให้ได้ข้อมูลบริเวณเดียวกันหลายๆ ช่วงเวลาที่ทันสมัยสามารถเปรียบเทียบและติดตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนพื้นผิวโลกได้เป็นอย่างดี และมีโอกาสที่จะได้ข้อมูลไม่มีเมฆปกคลุม
        • การให้รายละเอียดหลายระดับ ภาพจากดาวเทียมให้รายละเอียดหลายระดับ มีผลดีในการเลือกนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาด้านต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ เช่น ภาพจากดาวเทียม SPOT ระบบ PLA มีรายละเอียด 10 ม. สามารถศึกษาตัวเมือง เส้นทางคมนาคมระดับหมู่บ้าน ภาพสีระบบ MLA มีรายละเอียด 20 ม. ศึกษาการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เฉพาะจุดเล็กๆ และแหล่งน้ำขนาดเล็ก และภาพระบบ TM รายละเอียด 30 ม. ศึกษาสภาพการใช้ที่ดินระดับจังหวัด เป็นต้น
        • ภาพจากดาวเทียมสามารถให้ภาพสีผสม (False color composite) ได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการขยายรายละเอียดเฉพาะเรื่องให้เด่นชัดเจน สามารถจำแนกหรือมีสีแตกต่างจากสิ่งแวดล้อม
        • การเน้นคุณภาพของภาพ (Image enhancement) ภาพจากดาวเทียมต้นฉบับสามารถนำมาปรับปรุงคุณภาพให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น โดยการปรับเปลี่ยนค่าความเข้ม ระดับสีเทา เพื่อเน้นข้อมูลที่ต้องการศึกษาให้เด่นชัดขึ้น

                              
     จากภาพเป็นการแสดงภาพถ่ายทางอากาศบริเวณจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทำการซ้อนทับกับข้อมูลขอบเขตอาคารและการใช้ประโยชน์ของที่ดิน ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบระหว่างข้อมูลระยะไกลกับข้อมูลภาคสนามแล้วจะเห็นได้ว่า ข้อมูลจากการสำรวจระยะไกลจะให้รายละเอียดของข้อมูลน้อยกว่าการสำรวจภาคสนาม แต่จะให้ชอบเขตของการสำรวจที่กว้างกว่า และข้อมูลที่ได้จะเป็นข้อมูลที่ได้จากการเก็บตัวอย่างเพียงครั้งเดียว เมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีการสำรวจระยะไกล มีองค์ประกอบที่จะต้องพิจารณาคือ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งเป็นสื่อที่ใช้เชื่อมระหว่างเครื่องวัด กับวัตถุที่ต้องการสำรวจเครื่องมือวัด ซึ่งเป็นตัวกำหนดช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่จะใช้ในการตรวจวัด ตลอดจนรูปลักษณะของข้อมูลที่จะตรวจวัดได้ ยานที่ใช้ติดตั้งเครื่องมือวัด ซึ่งเป็นตัวกำหนดระยะระหว่างเครื่องมือวัด กับสิ่งที่ต้องการวัด ขอบเขตพื้นที่ที่เครื่องมือวัดสามารถครอบคลุมได้ และช่วงเวลาในการตรวจวัดการแปลความหมายของข้อมูลที่ได้จากการวัด อันเป็นกระบวนการในการแปลงข้อมูลความเข้ม และรูปแบบของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่วัดได้ ออกเป็นข้อมูลที่ต้องการสำรวจวัดอีกต่อหนึ่ง

ช่วงคลื่นแสง
รีโมตเซนซิงช่วงคลื่นแสง (Optical remote sensing) เป็นการบันทึกข้อมูลในช่วงคลื่นแสง ได้แก่ ช่วงคลื่นแสงตามองเห็น (visible), อินฟราเรดใกล้ (near infrared) และอินฟราเรดคลื่นสั้น (shortwave infrared) จากการสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์เมื่อตกกระทบวัตถุบนพื้นผิวโลก

                                        
วัตถุแต่ละชนิดมีการสะท้อนและดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ในแต่ละช่วงคลื่นแตกต่างกัน ค่าการสะท้อนเชิงคลื่นของแต่ละวัตถุนี้เรียกว่า "ลายเซ็นการสะท้อนเชิงคลื่น (spectral reflectance signature)" ซึ่งเป็นลักษณะที่ใช้แยกความแตกต่างของวัตถุแต่ละชนิด เช่น ค่าการสะท้อนแสงของน้ำโดยทั่วไปจะต่ำ แต่จะมีการสะท้อนสูงที่ปลายคลื่นน้ำเงิน ซึ่งทำให้น้ำใสจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินเข้ม   ดินจะมีค่าการสะท้อนสูงกว่าพืชไปจนถึงช่วงคลื่นอินฟราเรด ค่าการสะท้อนของดินขึ้นอยู่กับส่วนผสมของดิน ตัวอย่างดินที่แสดงในภาพจะปรากฏเป็นสีน้ำตาล   ส่วนพืชจะมีค่าการสะท้อนแสงที่แตกต่างดินและน้ำ คือ ค่าการสะท้อนจะต่ำในช่วงคลื่นน้ำเงินและแดง ในขณะที่จะมีค่าการสะท้อนสูงที่ช่วงคลื่นเขียวและช่วงคลื่นใกล้อินฟราเรด

การสะท้อนพลังงานของน้ำ

น้ำจะเป็นสารที่มีความสามารถในการดูดกลืนได้ดีในแทบทุกความยาวคลื่นลายเซ็นเชิงคลื่นของน้ำจึงอยู่ในระดับต่ำ ช่วงคลื่นที่น้ำมีการสะท้อนแสงเห็นได้ชัดเจนคือ 0.4-0.75 ไมครอน การสะท้อนพลังงานของน้ำใสสูงที่สุดที่ปลายช่วงคลื่นสีน้ำเงินประมาณ0.57ไมครอน และลดลงตามความยาวคลื่นที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นภาพของพื้นที่น้ำใสจะปรากฏเป็นสีน้ำเงินเข้มถึงดำ
  การสะท้อนแสงของน้ำนอกจากจะขึ้นอยู่กับธรรมชาติของน้ำเองแล้วยังขึ้นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ที่ปนในน้ำด้วย กรณีที่แหล่งน้ำมีสิ่งเจือปนหรือสารแขวนลอยต่าง ๆ เช่น ตะกอน สารเคมี จะมีผลให้รูปร่างของลายเซ็นเชิงคลื่นเปลี่ยนไป น้ำขุ่นหรือน้ำที่มีตะกอนดินจะมีการกระจายของแสงโดยสารแขวนลอย จะมีการสะท้อนพลังงานปลายช่วงคลื่นสีแดง ดังนั้น น้ำขุ่นจึงปรากฏเป็นสีน้ำตาล
สารเจือปนที่เป็นคลอโรฟิลล์หรือพืชในน้ำจะดูดกลืนแสงทำให้การสะท้อนแสงลดลงโดยเฉพาะในช่วงคลื่นสีน้ำเงินและสีแดง แต่มีการสะท้อนเพิ่มขึ้นในช่วงคลื่นสีเขียว
ดังนั้นในการศึกษาคุณภาพน้ำจะใช้ข้อมูลการสะท้อนพลังงานในช่วงคลื่นสีเขียว(0.5-0.6ไมครอน)พื้นแหล่งน้ำมีอิทธิพลต่อการสะท้อนแสงในช่วงคลื่นต่างๆเช่น 
ที่ความยาวคลื่นประมาณ 0.5-0.6ไมครอนจะสามารถเห็นพื้นน้ำที่ลึกได้18เมตรที่ความยาวคลื่นประมาณ0.6-0.7ไมครอนจะเห็นพื้นน้ำที่ลึก 3 เมตร ที่ความยาวคลื่นประมาณ 0.7-0.8 ไมครอน จะเห็นได้ลึก 1 เมตรสำหรับการสำรวจหาตำแหน่งและขอบเขตของแหล่งน้ำจะใช้ภาพในช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้เพราะน้ำจะดูดกลืนคลื่นแสงในช่วง 0.8 ไมครอนเป็นต้นไป จะเห็นแหล่งน้ำปรากฏเป็นสีดำ 



การสะท้อนพลังงานของดิน


                                   rs_00012.gif (300×228) 
ลายเซ็นเชิงคลื่นของดินจะค่อนข้างเรียบง่ายกว่าของพืช เนื่องจากปรากฏการณ์การสะท้อนพลังงานของดินมี 2 อย่าง คือ ถูกดูดกลืนหรือถูกสะท้อน จะไม่มีการส่งผ่าน    ลายเซ็นเชิงคลื่นของดินจะเปลี่ยนแปลงตามค่าความชื้นในดิน โดยเฉพาะในย่านอินฟราเรดใกล้ ซึ่งจะสะท้อนได้สูงขึ้นถ้าความชื้นลดลง และจะใกล้เคียงกับการสะท้อนของพืชสีเขียวถ้าดินแห้งนอกจากนี้ การสะท้อนพลังงานของดินยังขึ้นกับองค์ประกอบของดิน ได้แก่ ความชื้นในดิน ปริมาณอินทรียวัตถุและ ปริมาณเหล็กออกไซด์ในดิน เนื้อดิน และความขรุขระของพื้นผิว ดังตัวอย่างลายเส้นเชิงคลื่นของดินเหนียวและดินทราย (ภาพล่าง)
          

เนื้อดินมีความสัมพันธ์กับความชื้นในดินและการสะท้อนแสงของดิน ดินเหนียวมีอนุภาคขนาดเล็ก เรียงตัวอัดแน่น ช่องว่างระหว่างเม็ดดินแคบ น้ำไหลผ่านได้ยากจึงสามารถเก็บความชื้นในดินได้มากกว่าทรายซึ่งมีช่องว่างระหว่างดินกว้างกว่า และน้ำสามารถไหลผ่านได้ง่ายกว่า ดินที่มีความชื้นมากจะมีการสะท้อนแสงน้อยเนื่องจากมีการดูดกลืนพลังงานที่ตกกระทบได้มาก และมีการสั่นสะเทือนน้อย ดินเหนียวจึงมีค่าการสะท้อนแสงต่ำกว่าทราย เนื้อดินและการเรียงตัวของเนื้อดินมีความสัมพันธ์ต่อความขรุขระและความราบเรียบของผิวหน้าดิน ดินเหนียวมีการเรียงตัวอัดแน่น ทำให้ผิวดินราบเรียบกว่าทรายที่ค่อนข้างขรุขระ ผิวที่ราบเรียบจะทำให้มีการสะท้อนแสงได้มากกว่า สำหรับอิทธิพลของการดูดกลืนคลื่นแสงของน้ำที่ Water Absorption Bands ทั้งสาม (ความยาวคลื่น 1.4, 1.9 และ 2.7 ไมครอน) ยังคงมีอิทธิพลในดินเหนียวมากกว่าทราย เนื่องจากทรายจะปล่อยน้ำซึมได้สะดวก ดังนั้นถ้าทรายมีปริมาณความชื้นต่ำลงมาก (ร้อยละ 0-4) จะไม่มีอิทธิพลของ Water Absorption Bands นอกจากอิทธิพลของน้ำในช่วง Water Absorption Bands แล้ว ดินที่มีส่วนผสมของดินเหนียว เช่น ดิน silt loam ยังมีการสะท้อนแสงลดลงเนื่องจากการดูดกลืนของสารประกอบ hydroxyl ด้วย สำหรับ Hydroxyl Absorption Bands จะอยู่ในช่วงคลื่น 1.4 และ 2.2 ไมครอน โดยในช่วงคลื่น 1.4 ไมครอนจะเป็นช่วงคลื่นเดียวกันกับ Water Absorption Bands

การสะท้อนพลังงานของพืช


ในช่วงพลังงานแสงที่ตามองเห็น (0.4 - 0.7 ไมครอน) พืชสีเขียวจะมีการสะท้อนแสงค่อนข้างต่ำ เนื่องจากสารคลอโรฟิลล์ซึ่งเป็น pigment ในใบไม้จะดูดกลืนแสงในย่านนี้ได้ดี โดยจะดูดกลืนพลังงานแสงที่ความยาวคลื่น 0.45 ไมครอน (สีน้ำเงิน) และ 0.65 ไมครอน (สีแดง) เรียกช่วงคลื่นนี้ว่า Chlorophyll Absorption Bands   พืชจะมีค่าการสะท้อนสูงสุดที่ความยาวคลื่น 0.54 ไมครอน (สีเขียว) ทำให้มองเห็นพืชที่อุดมสมบูรณ์เป็นสีเขียวเนื่องจากมีคลอโรฟิลล์มาก แต่เมื่อพืชขาดความอุดมสมบูรณ์ ไม่สามารถผลิตคลอโรฟิลด์ได้ดี มีการสะท้อนแสงสีแดงมาก จึงเห็นพืชเป็นสีเหลืองที่เกิดจากการรวมกันของสีเขียวและสีแดง

ในช่วงอินฟราเรดใกล้ (0.7 - 1.3 ไมครอน) พืชจะมีการสะท้อนแสงสูงที่ความยาวคลื่นประมาณ 0.75 - 1.3 ไมครอน โดยพลังงานจะถูกสะท้อนประมาณร้อยละ 45 - 50 ของพลังงานที่ตกกระทบ และจะถูกส่งผ่านประมาณร้อยละ 45 - 50 ส่วนพลังงานที่ดูดกลืนจะมีเพียงร้อยละ 5 หรือต่ำกว่าเท่านั้น องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อลักษณะการสะท้อนแสง ในช่วงคลื่นนี้คือ โครงสร้างของใบพืชที่แตกต่างกันไปตามชนิดของพืช และจำนวนใบหรือความหนาแน่นของใบ บริเวณใดที่พืชมีใบเรียงตัวเพียงชั้นเดียวจะสะท้อนแสงได้น้อยกว่าบริเวณที่มีใบพืชหนาแน่น

    

นอกจากนี้ลักษณะการสะท้อนพลังงานในช่วงอินฟราเรดใกล้ของพืชที่มีอาการผิดปกติทางใบจะแตกต่างจากพืชสมบูรณ์ ดังนั้นจึงสามารถใช้ค่าการสะท้อนพลังงานในช่วงอินฟราเรดใกล้สำรวจความผิดปกติทางใบของพืชได้อีกด้วย
ในช่วง Shortwave infrared (1.30-3.00 ไมครอน) พลังงานส่วนใหญ่ถูกดูดกลืนหรือสะท้อนโดยใบพืช แทบจะไม่มีการส่งผ่าน  ช่วงคลื่นที่มีการสะท้อนแสงน้อย ได้แก่ ที่ความยาวคลื่น 1.4, 1.9 และ 2.7 ไมครอน เนื่องจาก พลังงานในช่วงคลื่นดังกล่าวถูกดูดกลืนไว้โดยน้ำในใบพืช เรียกช่วงคลื่นทั้งสามนี้ว่า Water Absorption Bands เป็นช่วงที่ปริมาณน้ำในใบเข้ามามีบทบาท ระดับการสะท้อนในย่านนี้จึงลดต่ำลงสำหรับช่วงคลื่นที่พืชมีการสะท้อนแสงมากได้แก่ที่ความยาวคลื่น 1.6 และ 2.2 ไมครอน องค์ประกอบสำคัญของการสะท้อนและการดูดกลืนในช่วงคลื่นนี้คือ ความชื้นในพืช โดยเฉพาะความชื้นของใบ ถ้าความชื้นลดลงการสะท้อนแสงจะเพิ่มขึ้นปริมาณความชื้นที่มีผลทำให้ลักษณะการสะท้อนแสงแตกต่างกันไปมากเมื่อปริมาณความชื้นลดลงเหลือเพียงร้อยละ5.4หรือต่ำกว่า
ที่ความชื้นต่ำพืชจะมีสภาพอ่อนแอ ใบที่แห้งจะมีการสะท้อนแสงมากและการผลิตคลอโรฟิลล์จะต่ำด้วย คลอโรฟิลล์จะมีอิทธิพลต่อการดูดซับและสะท้อนในช่วงที่ตามองเห็น ทำให้ลักษณะกราฟในช่วงที่ตามองเห็นต่างออกไปด้วย


การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีรีโมทเซ็นซิง
เทคโนโลยีรีโมทเซ็นซิง ได้ก่อให้เกิดคุณประโยชน์ในการศึกษาสำรวจสภาพแวดล้อม และทรัพยากรธรรมชาติอย่างกว้างขวาง ความสามารถในการบันทึก และสำรวจภาพข้อมูลได้เป็นบริเวณกว้าง ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งบางพื้นที่อาจเข้าถึงได้ยาก หรืออาจเป็นอันตรายที่จะเดินทางเข้าไปสำรวจ เช่นในพื้นที่ที่เกิดไฟป่า ในป่าลึก กลางมหาสมุทร ก็สามารถใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้มาช่วยได้อย่างมีประสิทธิผล
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีรีโมทเซนซิงมีอยู่หลายด้าน โดยอาจจำแนกประเภทได้ดังนี้
- การสำรวจการเปลี่ยนแปลงของโลก
- การสำรวจการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ต่างๆ
- การสำรวจทรัพยากร
- การศึกษากระบวนการทางธรรมชาติต่างๆ

อ้างอิงแหล่งที่มาของข้อมูล
http://www.arts.chula.ac.th/~geography/Geo_Know.htm
http://pirun.ku.ac.th/~b4755096/
http://www.gis2me.com/th/wp-content/uploads/2009/04/landsat-etm.jpg
http://www.gis2me.com/th/?cat=4&paged=3
http://gotoknow.org/blog/logistics-supplychain/313504

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น